Sculptra VS Radiesse แตกต่างกันแค่เพียงกลไกการทำงานของแต่ละตัว โดย Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ส่วน Radiesse จะเข้าไปฟื้นฟูการทำงานของไฟโบรบลาสต์ เซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีนสองชนิดโดยตรง
เมื่ออายุที่เพิ่มขึ้น ปัญหาผิวก็ตามมาไม่หยุด ไม่ว่าจะ ผิวหย่อนคล้อย ร่องลึก ริ้วรอย ผิวบาง ยิ่งขาดการดูแลไปนาน ๆ ทำให้เป็นริ้วรอยได้ชัดกว่าเดิม เนื่องจากยิ่งอายุมากขึ้น ร่างกายเราก็มีสามารถในการสร้างคอลลาเจนที่ลดลงตามมาอีกด้วย ซึ่งหลังจากอายุ 20 ปี ร่างกายคนเราจะมีการสูญเสียคอลลาเจนลงไปประมาณปีละ 1-2% เมื่อระดับคอลลาเจนในผิวยิ่งลดลงทำให้เกิดปัญหาผิวที่ตามมามากมาย ซึ่งสิ่งที่ตอบโจทย์กับปัญหาเหล่านี้อย่าง Sculptra และ Radiesse ที่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิว ให้เข้าไปการไปกระตุ้นให้เนื้อเราซ่อมแซมเกิดการสร้างคอลลาเจนในผิวขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองอย่างทำให้ผิวดูฟู แข็งแรง เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็ยังมีความแตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อไขข้อสงสัย ทำอะไรดีระหว่าง Sculptra กับ Radiesse เราได้รวบรวมทุกคำตอบมาให้อย่างละเอียด
Sculptra คืออะไร ?
Sculptra คือ สารกลุ่ม Biostimulator เป็นตัวกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีด เป็นสาร Polymer อย่างนึง โดย Sculptra Polymer ชนิดนี้เรียกว่า PLLA หรือ Poly-L-lactic acid จัดอยู่ในกลุ่มของ Collagen Biostimulator สามารถกระตุ้นการสร้าง Collagen Type 1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อฉีดเข้าไปยังชั้นใต้ผิว Sculptra จะไปทำหน้าที่ในการกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจน และอีลาสตินออกมา ซึ่งจะได้เป็นคอลลาเจนธรรมชาติจากชั้นผิว ไม่ก่อให้เกิดอันตราย โดยจะให้ความแน่น และคงรูปได้ สามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว เพื่อยกกระชับ และลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
Radiesse คืออะไร ?
Radiesse คือ สารกลุ่ม Biostimulator เป็นสารฉีดกระตุ้นเพื่อฟื้นฟูการสร้างเส้นใยตาข่ายให้ผิวใหม่ หรือ Regenerative Biostimulator มีส่วนประกอบหลักคือ CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ที่ช่วยการสร้างไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) โดยกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารสำคัญอย่าง Collagen Type 1, Collagen Type 3, Elastin, Angiogenesis และ Proteoglycans ซึ่งเป็นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับ มีความแน่น คงรูปได้ดี และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นเรื่อย ๆ

Sculptra & Radiesse ช่วยเรื่องอะไร
การทำงานของ Sculptra และ Radiesse เป็นสารเติมเต็มที่สามารถทำให้ผิวมีความแข็งแรงได้จากภายใน เนื่องจากอายุที่มากขึ้นทำให้ร่างกายมีการผลิตคอลลาเจนน้อยลง การใช้ Sculptra และ Radiesse ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง จะสามารถช่วยให้ผิวมีความเรียบตึง ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ร่องลึกจางลง ใบหน้าเกิดความยกกระชับ ยืดหยุ่น และใบหน้าดูแน่นฟู ดูเต็มขึ้นเนื่องจากเป็นการกระตุ้น ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่การการฉีดเพื่อทดแทน จึงทำให้ได้ความเป็นธรรมชาติสูง
จุดที่เหมือนกันระหว่าง Sculptra vs Radiesse
Sculptra และ Radiesse มีประสิทธิภาพที่เหมือนกันในเรื่องของการสร้าง Collagen (คอลลาเจน) และ elastin (อิลาสติน) และ Hyaluronic acid (ไฮยาลูรอน) จากธรรมชาติ แตกต่างกันเพียงแค่กลไกในการสร้าง แต่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน คือ ทำให้ผิวสามารถคืนตัวได้ดีขึ้น ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ทำให้ผิวกระชับมากขึ้น ร่องเส้น ร่องริ้วรอย การตอบไปของแก้ม ขมับ รวมถึงผิวที่บางลงเนื่องจากเมื่อผิวที่มีอายุเยอะขึ้นจะเริ่มมีการยืดแต่ไม่คืนตัว ดังนั้นเมื่อผิวมีปริมาณคอลลาเจนที่มากขึ้นจากการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติโดยตรง จะทำให้เกิดแรงดึงผิวที่สูงขึ้นและแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมชาติที่สุด
ความแตกต่างระหว่าง Sculptra vs Radiesse
Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ PLLA หรือ Poly-L-lactic acid สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ผ่านเม็ดเลือดขาว เพื่อไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ ไฟโบรบลาสต์ โดยใช้กลไลการบาดเจ็บ หรือ Inflammation ทำให้ผิวหน้ากระชับ ผิวแน่นยืดหยุ่น และคุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้นได้
Radiesse มีส่วนประกอบสำคัญคือ CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ที่จะเข้าไปฟื้นฟูการทำงานของไฟโบรบลาสต์ เซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีนสองชนิดโดยตรง อย่างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ผ่านกลไก Direct to Fibroblast

Sculptra กับ Radiesse ฉีดร่วมกันได้ไหม
การฉีด Sculptra ร่วมกับ Radiesse ในจุดที่ต่างกัน หรือบริเวณที่ต่างกันสามารถฉีดร่วมกันในครั้งเดียวกันได้ แต่หากต้องการฉีดบริเวณเดียวกันควรจะต้องเริ่มฉีดตัวแรก เพียงแค่ตัวเดียวก่อน และรออย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไปเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากยา โดยหลังจากฉีดตัวแรกจึงจะเริ่มใช้การฉีดตัวถัดไป โดยสามารถเริ่มฉีดจาก Sculptra หรือ Radiesse ก่อนก็ได้ ทั้งนี้ควรเข้ารับการตรวจ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อตรวจประเมินใบหน้า สภาพผิว ให้เหมาะสมกับปัญหาในแต่ละบุคคล
หากลังเลว่าจะฉีดตัวไหนดีควรเลือกคลินิกที่มีตัวยาทั้ง Sculptra และ Radiesse ครบอย่างคลินิก The Standard ของเรา ที่มีครบทั้งสองชนิด มีเครื่องมือครบครัน มีทีมแพทย์ที่สามารถประเมินใบหน้าของผู้รับบริการได้อย่างตรงจุด โดยวิเคราะห์ผิวหน้า ว่าเหมาะกับการทำชนิดไหนให้ได้ผลลัพธ์ในระยะยาว เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดความคุ้มค่าที่สุด และผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด
Sculptra vs Radiesse ฉีดกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม?
การฉีดสารเติมเต็มอย่าง Sculptra และ Radiesse มีระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน คือ
- Sculptra มีระยะเวลาในการเห็นผลประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังฉีด ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี หลังฉีด
- Radiesse มีระยะเวลาในการเห็นผลประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังฉีด ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน หลังฉีด

บริเวณที่ฉีดได้ตามโปรโตคอลประเทศไทย
โปรโตคอลประเทศไทย การฉีด Sculptra จะเน้นบริเวณการฉีดตั้งแต่ขมับ แก้มตอบ หน้าแก้ม และกรอบหน้า
โปรโตคอลประเทศไทย การฉีด Radiesse สามารถฉีดได้ในบริเวณทั่วใบหน้า รวมไปถึงร่องแก้ม และใต้คาง นอกจากนี้ Radiesse ยังเป็นตัวที่ผ่าน USFDA Indication ในการฉีดมือให้ผิวมีความดึง เรียบขึ้น
การฉีดแต่ละตำแหน่ง ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ที่ประเมิน และขึ้นอยู่กับความเสียหายของผิว เนื่องจากในการฉีดบางตำแหน่งยังไม่ได้จัดอยู่ใน Standard protocol ดังนั้นในการฉีดเพื่อแก้ปัญหาแต่ละตำแหน่งควรพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหารูปหน้าก่อนทำหัตถการทุกครั้ง
Sculptra กับ Radiesse ปลอดภัยหรือไม่
การฉีด Sculptra และ Radiesse ถือเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นสารเติมเต็มที่เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากธรรมชาติ และสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ หากเลือกคลินิกที่ใช้ตัวยาของแท้ที่ผ่านการรับรองอย่างถูกต้องเท่านั้น
ที่สำคัญก่อนทำควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องกระทำการโดยผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีเกี่ยวกับ Sculptra กับ Radiesse ผลข้างเคียง ปริมาณ และเทคนิคการฉีดที่ถูกต้องแม่นยำเพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย
ผลข้างเคียงระหว่าง Sculptra กับ Radiesse
สิ่งที่ควรต้องทราบก่อนการฉีด Sculptra และ Radiesse คือ เป็นการทำหัตถการที่ไม่ซับซ้อน มีปลอดภัยสูงมาก มีการเกิดผลข้างเคียงได้น้อยกว่าการฉีดฟิลเลอร์ แต่สิ่งที่จะสามารถพบได้หลังทำการฉีด Sculptra และ Radiesse คือ รอยเขียวช้ำเนื่องจากในการทำอาจมีการโดนเส้นเลือดเล็ก ๆ ในบริเวณนั้นทำให้เกิดรอยช้ำได้บ้างเล็กน้อยโดนไม่เป็นอันตราย และสามารถหายเองได้ภายใน 7-10 วันหลังทำ
หรือการเกิดตุ่มนูนเล็ก ๆ และก้อนหลังฉีดของยา ซึ่งถือโอกาสในการพบได้น้อยมาก ๆ หรือแทบไม่มีเลย แต่ก็สามารถหายไปได้เอง ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ฉีด ดังนั้นหากเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ก็จะทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียงขึ้นเลย
ทำไมต้องฉีด Radiesse กับ Sculptra ที่ The Standard
The Standard เรามีบริการที่ครบทุกด้าน มีทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ในการฉีด เครื่องมือทันสมัยมาให้บริการ พร้อมทั้งทีมแพทย์ที่พร้อมดูแล ให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อนทำ และหลังทำเป็นอย่างดี มีการติดตามผลลัพธ์ตลอดการรักษา ด้วยความสามารถของทีมแพทย์ที่มีการพัฒนาทักษะความรู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้เราประเมินปัญหาได้อย่างตรงจุด รวมไปถึงเทคนิคการฉีด ที่สามารถฉีดให้ออกมาได้ผลลัพธ์ดีที่สุดตามที่ต้องการ และคุ้มค่าที่สุดอย่างน่าประทับใจ
ราคา Sculptra กับ Radiesse
ราคาของ Sculptra และ Radiesse จำนวน 1 ขวด มีราคาประมาณ 35,000-36,000 บาท
สรุป Sculptra VS Radiesse
การฉีด Sculptra และ Radiesse แตกต่างกันแค่เพียงกลไกการทำงานของแต่ละตัว แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ได้ใกล้เคียงกันค่อนข้างมากในกลุ่ม Biostimulator ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งดึง ดูฟูขึ้น จัดการร่องลึก ริ้วรอยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ผิวแข็งแรงได้จากชั้นเซลล์ และมีความแตกต่างกันเพียงในบริเวณตำแหน่งที่ต้องการฉีด เนื่องจาก Radiesse สามารถฉีดได้ทั่วหน้ารวมไปถึงร่องแก้ม และใต้คาง ในขณะที่ Sculptra จะเน้นการฉีดบริเวณขมับแก้มตอบ หน้าแก้ม กรอบหน้า ดังนั้นหากสับสนว่าต้องฉีดตัวไหนถึงจะดีกว่า ควรเลือกคลินิกที่มีตัวยาครบทั้ง 2 ตัว โดยคลีนิก The Standard ของเรา มียาครบทั้ง 2 ชนิดพร้อมให้บริการ โดยสามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้าและปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด