ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic Acid (HA) ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบสารที่อยู่ในร่างกายตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิวคอลลาเจนและไฮยาลูรอน ที่ร่างกายจะสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น
นอกจากฟิลเตอร์ ก็ Filler นี้แหละที่ขาดไม่ได้ ยุคนี้เมื่อพูดถึงคลีนิกเสริมความงามส่วนใหญ่คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ฟิลเลอร์” บางคนก็เคยผ่านการรักษามาแล้ว แต่อาจไม่เข้าใจถึงรายละเอียดว่า มันคืออะไร ทำแล้วจะได้ผลดีอย่างไร
ปัจจุบันการฉีด Filler ยังได้รับความนิยมตามยุคสมัยมากขึ้นในเรื่องของการเติมเต็มรูปหน้า เช่น เพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า เสริม จมูก เสริมคาง หน้าอก เสริมแก้ม หรือ เติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ เช่น รอยร่องลึกแนวขวางที่ลำคอ รอยย่นบนหน้าผาก ร่องแก้ม ร่องใต้ตา รอยตีนกา ฝ่ามือ รวมไปถึงการทำให้ผิวกระชับขึ้น และยังถือเป็นการแก้ปัญหาผิวและริ้วรอยร่องลึกที่มีความสะดวก รวดเร็ว เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้นจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในการฉีด Filler ควรคำนึงถึงปัจจัยสำคัญหลายอย่างให้มาก เช่น สารที่ฉีดต้องปลอดภัย และแน่ใจว่าเป็นฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) ที่ผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องกระทำการโดยผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีเกี่ยวกับตัวยา ผลขางเคียง ปริมาณยา และเทคนิคการฉีดที่ถูกต้องแม่นยำเพื่อความปลอดภัยและผลลัพท์ที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรับบริการ

การฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง ?
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic Acid (HA) ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบสารที่อยู่ในร่างกายตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิวคอลลาเจนและไฮยาลูรอน ที่ร่างกายจะสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีคุณสมบัติเฉื่อย ไม่ทําให้เกิดการแพ้มีความคงตัว และอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน
อีกทั้งเสื่อมสลายไปเอง สารนี้ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังดูอ่อนเยาว์ เนื่องจากคอลลาเจนโปรตีนเสื่อมสภาพลงเมื่ออายุมากขึ้นผิวหนังจึงยุบตัวลง ความเหี่ยวย่น ริ้วรอย ร่องลึกจึงปรากฏ ฟิลเลอร์จึงทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวพยุงและเติมเต็มความชุ่มชื้นชั้นแนวกระดูกชั้นไขมันและผิวบริเวณที่มีการยุบตัว
ผิวหนังของคนเรามีใยคอลลาเจน (Collagen) เป็นส่วนประกอบสำคัญ คอลลาเจน ถือเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในร่างกาย เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวประสานเซลล์ยังสามารถช่วยรักษาความยืดหยุ่น ทำให้ผิวดูแข็งแรงกระชับเต่งตึง การที่เส้นใยเหล่านี้ลดลง จะทำให้ผิวบาง เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
เมื่อฉีด Hyaluronic Acid เข้าไปบริเวณที่เป็นร่องริ้วรอย เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม จะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวเต่งตึงขึ้น การฉีดฟิลเลอร์จึงสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวเต่งตึงขึ้น แก้ปัญหาร่องลึกแห่งวัยต่าง ๆ ได้
ฟิลเลอร์ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง แต่ละจุดควรใช้กี่ CC ?
การฉีด Filler สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง แล้วแต่ว่าต้องการเสริมบริเวณไหนบ้าง โดยจุดที่นิยมมากที่สุดหากต้องการปรับรูปหน้าจะมี 7 ตำแหน่ง ที่ฉีดแล้วเห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด
- ฟิลเลอร์หน้าผาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 3-5 cc
- ฟิลเลอร์ขมับ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 2-4 cc
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 2-4 cc
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-3 cc
- ฟิลเลอร์ปาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
- ฟิลเลอร์คาง ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
ทั้งนี้การฉีด Filler ทุกครั้งต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องกระทำการโดยผู้มีความรู้และชำนาญการ และในการฉีด Filler แต่ละครั้งไม่จำเป็นจะต้องใช้ปริมาณมากทีเดียว โดยสามารถทยอยเติมครั้งละนิด อย่างที่คนไข้ต้องการได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาและผลลัพท์ที่ตรงจุดและออกมาน่าให้น่าพึงพอใจที่สุด

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนและหลังฉีด?
การเตรียมตัวก่อนการฉีด Filler
- งดใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) และแอสไพริน
- งดวิตามินและอาหารเสริม เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี น้ำมันอีฟนิงพริมโรส (Primrose) สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เลือดออกแล้วจะหยุดไหลยาก และลดการลดบวมช้ำ
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด หรือ 1-3 วันก่อนฉีด
- งดทายาหรือสกินแคร์ทุกชนิดที่เป็นการพลัดเซลล์ผิว เช่น AHAs, BHAs
- งดการทำเลเซอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- สุขภาพร่างกายปกติดี ไม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- หากมีแพ้ยาหรือโรคประจำตัวควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งก่อนทำหัตถการ

การปฏิบัติตัวหลังฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดทับ บีบ นวดบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งได้
- หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ถูกความร้อนโดยตรงเช่น การนั่งหน้าเตาร้อนๆ เมื่อต้องรับประทานอาหารปิ้งย่างหรือชาบู
- งดการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อลดการอักเสบ บวมแดงของฟิลเลอร์
- หลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ควรล้างหน้าด้วยความรุนแรงหรือใช้น้ำร้อนจัด และหลีกเลี่ยงสกินแคร์ผลัดเซลล์ผิว
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหลังการฉีดฟิลเลอร์ 1 วัน
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อให้ตัวฟิลเลอร์ดูฟูเต็ม และอยู่ได้นานขึ้น
- ประคบน้ำแข็งบริเวณที่ฉีดในบริเวณที่มีอาการบวมช้ำ
- เลือกรับประทานอาหารเช่น งดการรับประทานของหมักดองอย่างน้อง 1 สัปดาห์หลังฉีด

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อตรวจประเมินใบหน้า สภาพผิว ปัญหาที่ต้องการปรับแก้ และวางแผนในการฉีด Filler เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงจุดตามที่ต้องการ
- แพทย์จะแนะนำ ปริมาณ ชนิด และแบรนด์ฟิลเลอร์ที่เหมาะสม และ ปริมาณ cc ที่ต้องใช้ฉีดแก้ไข เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกชนิดและรุ่นที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดใบหน้า และใช้ยาฆ่าเชื้อบนผิวหนังบริเวณจุดที่จะฉีดฟิลเลอร์
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ สามารถขอตรวจสอบ ชื่อและชนิดของฟิลเลอร์และแกะกล่องให้ดูต่อหน้าเพื่อเช็คว่าฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ว่าเป็นของแท้ก่อนฉีด
- กระทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- อาจจะมีการแปะยาชาก่อนทำการฉีด หรือประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม ซึ่งส่วนใหญ่ในตัวฟิลเลอร์จะมียาชาผสมมาเรียบร้อยอยู่แล้ว
- หลังการฉีดจะมีการแนะนำวิธีการดูแลหลังฉีด เพื่อลดอาการปวด บวม และวิธีดูแลตัวเองให้ฟิลเลอร์เข้าที่กับผิวอย่างรวดเร็วและอยู่ได้นาน

ข้อดีข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์
ข้อดีของการฉีด Filler
- การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการฟิลเลอร์ช่วยชะลอวัย หลังฉีดเห็นผลทันทีและไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาน้อย
- การฉีดฟิลเลอร์สามารถปรับโครงสร้างใบหน้าให้ได้รูปดูเปลี่ยนแปลง และลิฟต์หน้าได้
- ฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ปลอดภัย และได้รับการยอมรับ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบอาการแพ้ก่อน และไม่มีปัญหาเรื่องของสารตกค้างในร่างกาย สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ
- สามารถเติมเต็มจุดบกพร่อง รอยร่องลึกได้ เช่น ริ้วรอย ร่องลึกใต้ตา มุมปาก แก้มตอบ ขมับ คาง จมูก หลุมสิว ทำให้ผิวให้เต่งตึง ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ในทันทีที่ฉีด

ข้อเสียของการฉีด ฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานจะไม่สามารถอยู่ได้ถาวร ปกติแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน ดังนั้นทำให้ต้องมีการเติมอยู่ เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถสลายได้เอง ซึ่งในแต่ละคนจะอยู่ได้นานไม่เท่ากัน
- หากใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือมีความเสี่ยงในบริเวณที่ฉีดได้
- หากฉีดฟิลเลอร์แบบถาวร หรือก็คือ ซิลิโคนเหลว สารชนิดนี้จะเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ไม่สามารถสลายออกเองได้ หรือน้ำมันพาราฟิน ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายออกเองได้ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนไหลย้อย จนเกิดพังผืด ซึ่งจะต้องไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแก้ไขเท่านั้น แต่ปัจจุปันในคลินิกที่ได้มาตรฐานไม่นำกลับมาฉีดเนื่องจากผลข้างเคียงค่อนข้างสูง หากใครเผลอฉีดหรือไปฉีดในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานจะต้องขูดออกสถานเดียวเท่านั้น
- การฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ หรือเลือกสถานพยาบาล คลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ได้มาตรฐาน อาจฉีดในจุดที่ไม่ควรฉีด หรือฉีดผิดชั้นผิดตำแหน่ง จะทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้ ดังนั้นควรสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

ผลข้างเคียงของการฉีดที่ต้องรู้ก่อนฉีด
การฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานถูกต้องและผ่านการรับรองจาก อย.ไทย จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงหลังจากการใช้นั้นน้อยมาก ในส่วนใหญ่หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ในจุดที่ฉีดจะมีอาการบวมช้ำ รู้สึกเจ็บแต่ไม่ต้องกังวล เพราะทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พบได้ปกติ อาการดังกล่าวจะหายได้เองภายในระยะเวลา 2-3 วัน สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
ฉีดแต่ละจุดราคาเท่าไหร่ ทำไมแต่ละจุดราคาต่างกัน ?
ในการฉีดฟิลเลอร์มีราคาที่ต่างกันเนื่องจากรุ่นของฟิลเลอร์ ชนิดยี่ห้อที่เลือก เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละตัวจะมีคุณสมบัติที่ต่างกันออกไป เช่น เนื้อฟิลเลอร์ การกระจายตัว การยื่ดหยุ่น การอุ้มน้ำ และเทคนิคความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางที่ต่างกัน รวมไปถึงการฉีดใบบริเวณที่ต่างกันทำให้ปริมาณในการใช้ฟิลเลอร์ก็ต่างกันและขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้อีกด้วย โดยมีราคาเริ่มต้น 14,900 บาท หน้าผาก 24,900 บาท จมูก 24,900 บาท ปาก 15,900 บาท
ฉีดยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน ราคาเท่าไร ?
Restylane ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน มีจุดเด่นที่เหมาะกับการปรับโครงหน้า และผู้ที่ผิวบางหรือต้องการเติมเต็ม
- ฟิลเลอร์ Restylane Defyne 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane Perlane Lyft อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane Vital Light อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane Vital อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane classic อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane Volyme อยู่ได้นาน 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane Refyne อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane Kysse อยู่ได้นาน 12 เดือน
Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา จุดเด่นที่อุ้มน้ำได้ดีเหมาะกับตำแหน่งที่มีการขยับกล้ามเนื้อบ่อยๆ
- ฟิลเลอร์ Juvederm Volite อยู่นาน 8 – 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Juvederm Ultra Plus อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Juvederm Voluma อยู่ได้นาน 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Juvederm Volift อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Juvederm Volbella อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Juvederm Volux อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
Belotero ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ จุดเด่นที่ออกแบบมาเพื่องานผิวกระจก เป็นการบำรุงผิวโดยเฉพาะ
- ฟิลเลอร์ Belotero อยู่ได้นาน 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Belotero volume อยู่ได้นาน 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Belotero Revive อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
Definisse Restore ฟิลเลอร์สัญชาติ อิตาลี มีจุดเด่นคือ XTR™ technology ช่วยผยุงรูปหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- ฟิลเลอร์อิตาลี Definisse Restore อยู่ได้ 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Definisse Core อยู่ได้ 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Definisse Touch อยู่ได้ 8-12 เดือน

ฉีดสลายฟิลเลอร์
การฉีดสลายฟิลเลอร์ (Dissolving Filler) ในกรณีที่หลังการฉีดฟิลเลอร์แล้วต้องการที่จะสลายออกสามารถทำได้ โดยจะต้องเป็นตัวฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid เท่านั้นจึงจะสลายออกหมด โดยสามารถทำได้โดยเอมไซม์ Hyaluronidase ที่มีประสิทธิภาพสามารถย่อยสลายสารเติมเต็ม โดยฉีดเข้าไปบริเวณที่เราต้องการจะสลายหรือแก้ไขปัญหาในผลลัพธ์ของคนไข้ เช่นการฉีดปากในปริมาณที่มากเกินพอดีทำให้ดูไม่อวบอิ่มเป็นธรรมชาติหรือไม่ตรงตามความต้องการ ฉีดให้สลายกลับไปอยู่ในลักษณะเดิมก่อนฉีด
การขูดฟิลเลอร์
สำหรับคนที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมมา อาจจะเนื่องจากปัจจัยที่มีราคาถูก เห็นผลลัพธ์ทันทีเหมือนกันกับตัวฟิลเลอร์ของแท้ แต่หากปล่อยไว้ในระยะยาวทำให้แล้วจะเกิดการอักเสบ ซึ่งวิธีแก้ไขจะต้องทำการขูดฟิลเลอร์ออกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และคลีนิกหรือสถานพยาบาลที่มาตรฐานเท่านั้น
การขูดฟิลเลอร์ คือ การรักษาอาการบวม อักเสบ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์ปลอม ไม่สามารถสลายหายไปเองได้ตามธรรมชาติ และไม่สามารถใช้วิธีการฉีดให้ฟิลเลอร์สลายไปได้เนื่องจากเป็นกลุ่มของฟิลเลอร์ถาวร ไม่ใช่กลุ่ม Hyaluronic Acid เมื่อทิ้งระยะยาวทำให้ เกิดเป็นก้อนแข็ง ในบางเคสอาจทำให้เนื้อตาย เกิดการอักเสบ ติดเชื้อตามมา จนสุดท้ายก็ต้องมาทำการแก้ไขด้วยการขูดฟิลเลอร์ด้วยการผ่าตัดนั่นเอง ซึ่งการผ่าตัดสามารถนำออกได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น (60-70%) ไม่สามารถเอาออกได้ทั้งหมด และต้องการทำการโดยแพทย์ผู้เชียวชาญเท่านั้น แต่ทางที่ดีที่สุดคือศึกษาข้อมูล เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น
ฉีด Filler กับ ฉีด Botox ต่างกันยังไง ?
· Botox จะนิยมมาแก้ไขปัญหาริ้วรอย หรือการละขนาดของกล้ามเนื้อเป็นหลัก กราม น่อง
· Filler จะใช้สำหรับแก้ปัญหาที่เป็นร่องลึก ต้องการเติมเต็ม เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม
· เทคนิคและตำแหน่งการฉีดที่ต่างกัน Botox จะฉีดในชั้นที่ตื้นเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย และชั้นลึกเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ ส่วน Filler จะใช้สำหรับการเติมเต็มจึงจะต้องฉีดไขมัน ซึ่งจะเป็นชั้นที่ลึกกว่าชั้นกล้ามเนื้อลงไป การออกฤทธิ์ที่ต่าง Botox จะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ส่วน Filler จะค่อย ๆ สลายไปตามเวลาขึ้นอยู่กับการดูแล